วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

The Spirit of Budo

แหล่งการเรียนรู้ อาคารนวัตกรรม:ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี "The Spirit of Budo"






ประวัติความเป็นมา

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รอง อธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา กรรมการและเลขานุการสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เริ่มอธิบายถึงที่มาของ ศรีนครินทรวิโรฒ ยูนิเวอร์ซิตี้ คอมเพล็กซ์ หรือเรียกสั้นๆ ได้ว่า “สวูนิเพล็กซ์” (SWUNIPLEX)  2 อาคารพาณิชย์น้องใหม่ซึ่งกำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการช่วงปลายปีนี้





“หากลงเงินไปกับการพัฒนาหรือส่งเสริมงานวิชาการอย่างเดียว มันเกิดผลช้า เงินก็จมลงไป เราเลยคิดที่จะหาเงินด้วยวิธีอื่น เอาเงินต่อเงิน แล้วค่อยนำดอกผลมาสร้างความต่อเนื่องทางวิชาการ และ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งมันยั่งยืนกว่า” คือเหตุและผล ซึ่ง รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา อธิบายให้ฟังว่า ทำไมถึงตัดสินใจใช้เงินถึงเกือบ 500 ล้านบาทซื้อมาเพื่อที่ดิน 7 ไร่ ต่อขยายอาณาเขตมาจนติดกับถนนอโศกนมตรี และของบประมาณแผ่นดินมาสร้าง 2 อาคารใหม่ ตลอดจนสร้างลานจอดรถใต้ดินเพิ่มเติมอีกด้วย
อาคารบริการหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล มีความสูง 17 ชั้น เป็นอาคารเพื่อการพัฒนานวัตกรรมและการบริการความรู้สู่ชุมชน สร้างขึ้นโดยงบประมาณ 300 ล้านบาท และ อาคารนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี เป็นอาคารเพื่อการวิจัยและพัฒนา ที่ความสูง 22 ชั้น ด้วยงบประมาณการก่อสร้าง 400 ล้านบาท และยังมีอาคารอำนวยการพัฒนานวัตกรรม (ที่จอดรถใต้ดิน 1 พันคัน) ด้วยงบประมาณการก่อสร้าง 400 ล้านบาท
“การคิดสร้างสวูนิเพล็กซ์นั้น เรามีวัตถุประสงค์เพียงข้อเดียว คือ หารายได้อย่างมีศักดิ์ศรีทางวิชาการ เรายอมมีรายได้น้อยลงนิดหน่อยเพื่อแลกกับศักดิ์ศรีทางวิชาการ เลยมาสรุปที่ว่า เราทำของเราเองครึ่งหนึ่ง ให้คนภายนอกเข้ามาเช่าทำครึ่งหนึ่ง”
พื้นที่ในส่วนที่ มศว จะทำเองนั้น อาทิ ศูนย์ผิวหนัง, มศว คลีนิค, กายภาพบำบัด, ทันตกรรมพิเศษ ไปจนถึงทำโรงแรม โรงละคร มิวสิคฮอลล์ ซึ่งทั้งหมดต่อยอดจากงานทางวิชาการที่มีอยู่แล้วในมหาวิทยาลัย
ส่วนดีลที่มหาวิทยาลัยทำกับภาคเอกชนผู้มาเช่าตึกนั้นก็ไม่ได้เป็นเพื่อ การพาณิชย์ไปเสียทั้งหมด เพราะยังมีเงื่อนไขที่ มศว ยื่นต่อผู้เช่าให้ร่วมมือด้วย อาทิ ร้านกาแฟแบรนด์ยักษ์ใหญ่ซึ่ง เป็นผู้เช่าได้พื้นที่ใหญ่สุดรายหนึ่งไปนั้น ได้มาภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ต้องกันพื้นที่ครึ่งหนึ่งไว้เป็นที่นั่งอ่านหนังสือ โดยจัดสรรงบซื้อหนังสือปีละ 3 แสนบาทให้ทางมหาวิทยาลัยเป็นคนเลือกรายชื่อหนังสือที่จะเข้ามาวางไว้ให้นิสิตอ่าน
ส่วนกิจการอื่นๆ ที่เข้ามาเช่าเปิดสาขาที่สวูนิเพล็กซ์นั้น ก็รับเงื่อนไขการรับนิสิตของ มศว เข้าฝึกงาน หรือ เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่นิสิตในอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลากหลายกิจกรรมบนลานอโศกมนตรี ทั้งเปิดให้เช่าแผงทำตลาดนัดทุกวันพฤหัสบดี เต้นแอโรบิกทุกวันศุกร์ และยังเปิดให้เถ้าแก่น้อยทั้งหลายมาจับจองพื้นที่ขายสินค้าแฮนด์เมดได้ฟรีใน ทุกวันอาทิตย์
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อบริหารพื้นที่สร้างเม็ดเงินให้ได้ราว 60 ล้านบาทต่อปี เพื่อกลับมาสนับสนุนความคิด “ส่งคืนสู่สังคม”

































สถานที่ตั้งและการเดินทาง

          มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร สามารถมาได้ทางรถไฟฟ้า BTS สถานีอโศก หรือ รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสุขุมวิท แะสถานีเพชรบุรี 


นิทรรศการ “จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้” สำรวจประวัติศาสตร์ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น ตั้งแต่ในสนามรบ จนถึงเทคนิคในกีฬาการต่อสู้นานาชาติ นิทรรศการส่วนแรกแสดงชิ้นงานที่ทำขึ้นใหม่ของอาวุธในประวัติศาสตร์ โดยหลักจะเป็นการจัดแสดงอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม อาทิ ดาบ ธนูและลูกธนู ชุดเกราะและหมวกเกราะ  อาวุธจริงซึ่งเป็นต้นแบบของชิ้นงานเหล่านี้เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑ์และปราสาท แต่ชิ้นงานที่จัดแสดงสร้างจำลองโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้เทคนิคแบบโบราณ  นักรบในอดีตนั้นฝึกฝนร่างกายอย่างเข้มงวด เพื่อการเติบโตและการเข้าถึงทางจิตวิญญาณ จึงสร้างสรรค์ให้เกิดศิลปะนานาแขนง เช่น บทกวีจิตรกรรม และประติมากรรม ในนิทรรศการมีหมวกเกราะที่ออกแบบอย่างงดงามอยู่ 8 ชิ้น มาจากยุคสงครามเซงโกคุ (ค.ศ. 1467-1568) ยุคที่เต็มไปด้วยการรบพุ่งกันทั้งประเทศ หมวกเกราะเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความงดงามโดดเด่นในสมัยที่ถูกสร้างขึ้น และแม้ว่าจะออกแบบมาอย่างหรูหรา แต่ขุนพลเลื่องชื่อ เช่น นากามาสะ คุโรดะ (ค.ศ. 1568 – 1623) และยูคิมูระ ซานาดะ (ค.ศ. 1567 – 1615) สวมหมวกเกราะเหล่านี้ในสนามรบจริง เพราะความโดดเด่นมีเอกลักษณ์นี้ สื่อให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นตั้งใจของนักรบที่ได้รับจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มีอยู่สองครั้งที่ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นเกือบจะสูญหายไป ครั้งแรกคือปลายยุคศักดินาต่อยุคสมัยใหม่ในยุคเมจิ (กลางศตวรรษที่ 19) และอีกครั้งคือระหว่างการให้ศึกษาประชาธิปไตยช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป “บุจุทซึ” (วิถีแห่งการต่อสู้) ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยนักการศึกษาและผู้ฝึกปฏิบัติจนกลายเป็น “บุโด” (วิถีแห่งความกล้า) ซึ่งการฝึกฝนร่างกาย มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับจิตวิญญาณและการควบคุมตนเป็นหลัก นิทรรศการส่วนที่สอง เกี่ยวกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบัน เมื่อไม่อยู่ในสนามรบ ทั้งอุปกรณ์และชุดก็ปรับเปลี่ยน โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อม จึงนำดาบไม้ไผ่ เสื้อเกราะ ถุงมือ และกางเกงฮากามะ มาจัดแสดงควบคู่กับบอร์ดคำอธิบาย และดีวีดีเกี่ยวกับการฝึกซ้อมโดยนิปปอน บุโดกังด้วย